หน้าเว็บ

การใช้ weblog ในการขายสินค้า

ปกติเราขายสินค้าผ่านทางอินเตอร์เน็ต เรามักจะคิดว่า ต้องมีเว็บไซต์(website) สวย ๆ ออกแบบด้วยนักเขียนเว็บมืออาชีพ และมีชื่อเว็บ URL เป็นชื่อของเว็บไซต์ของเราเอง ถึงจะดัง ดูดี น่าเชื่อถือ แต่จากประสบการณ์ของผม ที่เข้ามาใช้อินเตอร์เน็ต และหาข้อมูลอยู่เป็นประจำ และค้นหาสินค้าและบริการ ผมกลับพบว่า ข้อมูลส่วนใหญ่ เนื้อหาสิ่งที่ผมต้องการรู้ มันมักจะไม่อยู่ในเว็บไซต์ แต่มันกลับค้นเจอ และมีมากในส่วนที่เรียกว่า เว็บบล็อก(weblog) 

เว็บล็อก หรือบางคนอาจจะเรียกส่วนนี้ว่า เว็บบอร์ด (กรณีที่อยู่ในเว็บไซต์ขององค์กร) มักจะมีเนื้อหาที่แยกออกมาจากส่วนของเนื้อหาในเว็บไซต์ บางเว็บไซต์ก็เปิดให้บริการทำเว็บบล็อกฟรี ๆ คือไม่มีหน้าตาแบบเ็ว็บไซต์ เปิดเข้าไปก็เจอแต่รายการเว็บบอร์ดเยอะแยะมากมาย ซึ่งแต่ละเว็บบล็อก หรือเว็บบอร์ดเหล่านี้ จะมีเจ้าของบอร์ดแต่ละคนคอยดูแลและจัดการข้อมูลอยู่ 

เนื้อหาส่วนใหญ่ของเว็บบอร์ด หรือคนที่ทำเว็บบล็อกคือจะเป็นเรื่องส่วนตัว คล้ายกับไดอารี่ แต่แทนทีีจะเขียนในสมุดโน็ต หรือสมุดไดอารี่ ก็เอามาเขียนอยู่ในอินเตอร์เน็ต ใครก็สามารถเข้าไปอ่านไดอารี่ของตนเองได้ หรืออาจจะมีการสมัครเป็นสมาชิกของบล็อก หรือเว็บไซต์นั้นก่อน แล้วจึงจะเข้าไปอ่านได้

ดังนั้นเนื้อหาที่เขียน จึงสามารถเขียนอะไรก็ได้ตามต้องการ เรื่องราวต่าง ๆ รอบตัว เรื่องของตนเอง เรื่องเพื่อน เรื่องของสินค้า การท่องเที่ยว หรือสิ่งใดก็ตามที่อยากจะเขียนก็เขียนเข้าไปได้เลย ปัจจุบันจึงมีคนสนใจที่จะนำสินค้าต่าง ๆ และบริการหลายหลายรูปแบบมาเสนอขายและนำเสนอเรื่องราวในเว็บบล็อกกันมากขึ้น แล้วจะนำเชื่อมโยงไปหาข้อมูลในเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับสิินค้าและบริการนั้น ๆ อีกทีหนึ่ง

เนื่องจากการจัดการเว็บล็อก ทำได้ง่าย ไม่จำเป็นต้องมีเว็บมาสเตอร์ คนธรรมดา ที่พอจะพิมพ์ข้อมูลเข้าไปในคอมพิวเตอร์ได้ก็ทำได้แล้ว ขอให้เล่นเน็ตเป็นแค่นั้นก็พอ ทำให้เจ้าของกิจการ หรือผู้ที่ต้องการหาอาชีพเสริม หรือมีร้านค้าอยู่แล้ว อยากลองขายของทางเน็ต ก็ใช้เว็บล็อกเป็นตัวนำเสนอสินค้าของตนเอง บางคนก็แค่พิมพ์ข้อความ และแทรกรูปไว้เท่านั้น จากนั้นก็ให้ผู้สนใจ ติดต่อมาทางอีเมล์ หรือโทรศัพท์ติดต่อกันอีกที เพื่อตกลงซื้อสินค้า บางคนก็มีเว็บไซต์ขายสินค้าอยู่แล้ว ก็มาเขียนในเว็บบล็อกของเว็บไซต์อื่นๆ  อีกเพื่อให้มีข้อมูลของสินค้าของตนเองมากขึ้น เมื่อคนสนใจค้นหาสินค้าชนิดนั้นจากการค้นใน google ก็สามารถเจอสินค้า และเว็บของตนเองได้ง่ายขึ้นั่นเอง



ตัวอย่างเว็บล็อกที่นำเสนอบริการที่จัดการได้ง่าย
ชื่อเว็บ :: เห็นเขาโฆษณา เลยเอามาคุย

ตัวอย่างเว็บล็อกที่นำเสนอบทความต่าง ๆ เฉกเช่นเดียวกับไดอารี่ส่วนตัว
ชื่อเว็บ :: ทำเพื่อคุณเลยนะ



........................

เพื่อน จู๋ ขอขึ้นเงินเดือน

เนื่องจากช่วงนี้มีข่าวการขึ้นเงินเดือนข้าราชการกันหนาหูพอสมควร พนักงานเอกชนอย่างนายจู๋ เพื่อนผมก็เลยอยากให้เงินเดือนขึ้นกะเขามั่ง เพราะทำงานหนักมาตลอด จึงเขียนจดหมายเสนอไปดังนี้





เรียนผู้จัดการฝ่ายบุคคล

กระผม นายจู๋

มีความประสงค์ขอขึ้นเงินเดือนโดยมีเหตุผลดังต่อไปนี้

1. กระผมเป็นผู้ใช้แรงงาน

2. กระผมทำงานในที่ลึกมาก ....

3. กระผมต้องสอดหัวเข้าไปก่อนทุกครั้งที่ทำงาน

4. กระผมไม่มีวันหยุดสุดสัปดาห์และไม่เคยหยุดวันนักขัตฤกษ์

5. กระผมทำงานในที่มีสภาวะแวดล้อมอับชื้น !!!

6. กระผมทำงานในที่มืดและไม่มีอากาศถ่ายเท

7. กระผมทำงานในที่ร้อนอบอ้าว

8. กระผมไม่เคยได้รับค่าล่วงเวลา

9. กระผมทำงานที่เสี่ยงกับโรคติดต่อ


จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา







จดหมายตอบจากทางฝ่ายบุคคล

เนื่องจะคณะกรรมการได้พิจารณาแล้วเห็นว่าคุณไม่สมควรได้รับการขึ้นเงินเดือนเป็นอย่างยิ่ง

เนื่องจากขาดคุณสมบัติเป็นพนักงานที่ดีหลายประการ ดังที่ได้แจ้งหลายละเอียดดังนี้

1. คุณไม่ได้ทำงาน 8 ชม / วัน

2. คุณงีบหลับหลังจากเสร็จงานเสมอ

3. คุณไม่ทำตามคำสั่งบ่อยๆ

4. คุณไม่ชอบทำงานในที่ประจำของคุณ และชอบแว๊บไปรับงานที่อื่นบ่อยๆ

5. คุณมักไม่ทำงานโดยไม่แจ้งให้ทราบล่วงหน้า และหลายครั้งที่หยุดงานกลางคัน

6. คุณไม่มีความเป็นผู้นำ ต้องอาศัยแรงกระตุ้นจากภายนอกให้ทำงาน

7. คุณทิ้งให้ที่ทำงาน สกปรกเลอะเทอะทุกครั้งเมื่อเสร็จงาน

8. คุณมักไม่ชอบปฎิบัติตามกฎแห่งความปลอดภัย โดยไม่สวมอุปกรณ์ป้องกัน

9. หลายครั้งคุณไม่สามารถทำงานควบสองกะต่อเนื่องได้



จึงเรียนมาเพื่อทราบ





ขึ้นเงินเดือนข้าราชการ แล้วพนักงานเอกชนและอาชีพอิสระล่ะ..

การขึ้นเงินเดือนข้าราชการทีไร ไม่ว่ามองจากมุมไหนของสังคมก็เป็นข่าวที่เกรียวกราวทุกที เป็นที่วิภาควิจารณ์กันอย่างสนุกสนานและหลากหลายมุมมอง

แต่คนที่คิดว่าน่าจะได้รับประโยชน์มากที่สุดคือ ตัวข้าราชการเอง และครอบครับ นี่คือกลุ่มแรกที่ไม่มีใครปฏิเสธและคงไม่บอกกลับไปสู่รัฐบาลว่าไม่จำเป็นต้องขึ้นให้ก็ได้ เชื่อเถอะใคร ๆ ก็อยากได้ค่าตอบแทนเพิ่มกันทั้งนั้น

และกลุ่มที่มองว่านี่เป็นเรื่องดีฝ่ายหนึ่งก็คือ รัฐบาล นักการเมืองต่างๆ ที่มองว่านี่คือผลงานชิ้นหนึ่งที่ได้ทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติ และคนจำนวนมากของสังคมอีกกลุ่มหนึ่ง เพราะนี่คือกลุ่มคนที่มีความรู้มีการศึกษาทั้งนั้น แน่นอนข้าราชการส่วนใหญ่ ไม่ได้เป็นตาสีตาสาคนธรรมดาแน่ ๆ ผลงานที่รัฐบาลทำวันนี้คงจะตราตรึงในจิดใจของข้าราชการไปอีกนาน เพราะใคร ๆ ก็รู้ข้าราชการไม่ได้ขึ้นเงินเดือนกันบ่อย ๆ 

และอีกกลุ่มหนึ่งที่มองว่า ไม่ว่าจะขึ้นเงินเดือนราชการ หรือคนเอกชน หรือผู้ประกอบอาชีพส่วนตัว จะเป็นใครก็ได้คือคนทำมาค้าขาย(เจ้าของกิจการ) และหน่วงงานทางด้านการเงิน เพราะนี่คือจะเป็นแหล่งทุนเพื่อใช้ในการจับจ่ายซื้อหาสินค้าและบริการ ที่จะมีเพิ่มขึ้นแน่นอนและจะมียอดการชำระหนี้ที่ดี่ขึ้นด้วย 

แต่ใช่ว่าทุกคนจะมองไปในแง่ดีกันหมดนะครับ มุมมองอีกด้านก็มีนะ หลายคนมองว่ารัฐบาลแต่ละยุกต์สมัยที่ปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการ หรือปรับค้าจ้างค่าแรงขึ้นต่ำ หวังผลอะไรอยู่หรือเปล่า ประเด็นทางการเมืองย่อมถูกยกมาพูดถึงกันอยู่บ้าง อย่าลืมนะครับว่าจำนวนข้าราชการในเมืองไทยเราทีอยู่ไม่ใช่้น้อย ๆ นะ แน่นอนเป็นฐานเสียงเรียกคะแนนให้กับนักการเมืองได้มากอยู่เหมือนกัน 

แต่ถ้าไม่เพ่งไปทางการเมือง ก็มองการได้รับสิทธิ์ที่ดูจะมากกว่าหรืออะไรที่ไม่เท่าเทียมกันจากฟากของลูกจ้างเอกชน หรือคนกินเงินเดือนจากฝั่งของหน่วยงานเอกชนเขาบ้าง หรือแม้แต่ผู้ประกอบอาชีพอิสระทั้งหลายที่ไม่ได้เป็นลูกจ้างใครเลย ก็อาจจะมองว่าจำเป็นต้องขึ้นด้วยเหรอ เพราะเห็นข้าราชการเขาก็ทำงานสะบายกันดีจะตาย ความเป็นอยู่ก็ไม่เห็นจะลำบากตรงไหน แต่พวกเขาสิ ทำงานหนักกว่าตั้งเยอะ แต่ก็ไม่ได้รับสิทธิ์ หรือมีสวัสดิการเท่ากับข้าราชการเลย น้อยกว่าด้วยซ้ำไป 

แม้เงินเดือน หรือรายรับจากงานเอกชนโดยเฉลี่ย (ผมพูดโดยเฉลี่ยเพราะมองภาพรวม) จะมากกว่างานราชการ แต่ก็อย่าลืมหลายประเด็นนะครับที่ทำให้ได้รับรายได้อย่างนี้ อย่างน้อยเรื่องเวลาการทำงาน โดยทั่วไปงานเอกชนทำงาน 6 วันต่อสัปดาห์เป็นอย่างน้อย บางแห่ง 7 วันด้วยซ้ำไปติดต่อกันเลย แต่ก็ให้โอกาสพนักงานเลือกวันหยุดได้ติดต่อกัน 4 วันใน 1 เดือน และวันหยุดที่รัฐประกาศให้เป็นวันหยุดราชการ งานเอกชนไม่ได้หยุดนะ จะได้หยุดเฉพาะในวันหยุดราชการที่เป็นเรื่องของเทศกาล และวันสำคัญของชาติเท่านั้น 

เรื่องสวัสดิการทางสังคม หรือสวัสดิการที่เป็นเรื่องพื้นฐาน ก็ได้น้อยกว่าราชการอยู่่แล้วชัดเจนมาก เช่นสิทธิการรักษาพยาบาล ในยามเ็จ็บไข้ไม่สบาย มีประกันสังคมเหมือนกัน แต่ก็ใช้สิทธิได้เฉพาะของตนเอง คนในครอบครัวไม่สามารถใช้สิทธิ์เบิกค่าใช้จ่ายได้ เรื่องของการเบิำกค่าเล่าเรียนของบุตร เอกชนทำไม่ได้ครับต้องจ่ายเต็ม เรื่องบำเหน็ด และบำนาญ ไม่เคยมีในประวัติศาสตร์งานเอกชน จะจ่ายให้คนที่เกษียณแล้วเป็นไปไม่ได้ (ยกเว้นเจ้าของกิจการยังพอได้รับอยู่แม้จะอายุเกิน 60 แล้วก็ตาม) และผลประโยชน์อื่นๆ อีกมากมาย ทั้งในแบบที่มองเห็นและไม่เห็น(ผลประโยชน์แฝง) เช่นเกียรติ และศักดิ์ศรี ซึ่งไม่สามารถวัดออกมาเป็นตัวเลขที่ชัดเจนได้ 

งานเอกชน เขาวัดกันที่ผลงานเป็นหลัก รองลงมาคือเวลาในการทำงาน และที่แตกต่างจากงานราชการที่ทำให้ได้เงินเืดือนหรือรายได้เยอะกว่า คือความพอใจของนายจ้าง พนักงานทำงานดี ทำตัวดี เจ้านาย(เจ้าของกิจการ) ก็เพิ่มเงินเดือน หรือโบนัสให้โดยไม่ต้องรอให้ใครอนุมัติ หรือไม่ต้องรอให้หน่วยงานของรัฐเป็นผู้อนุญาต 

ที่จริงรายได้หรือฐานเงินเดือนของคนที่ทำงานเอกชน ไม่เท่ากันทุกที่หรอกครับ บางบริษัทให้เงินเดือนพนักงานน้อยกว่าฐานเงินเดือนด้วยซ้ำไป แต่มีเงื่อนไขเพิ่มเติมที่จะทำให้มีรายได้มากขึ้น นั่นอยู่ที่ความสามารถของตัวพนักงาน ได้แก่ค่าคอมมิชชั่น หรือเงินโบนัสต่างๆ ซึ่งอาจจะจ่ายเป็นรายเดือน หรือไตรมาส หรือสิ้นปี ก็แล้วแต่ละที่จะกำหนด แต่นั่นมันแสดงให้เห็นว่า พนักงานเหล่านั้นจะได้เงินเพิ่มขึ้นต้องทำผลประโยชน์ให้กับหน่วยงานหรือบริษัทนั่นก่อน หรือพูดง่าย ๆ ทำงานเข้าเป้า ได้ตามเป้า ได้ตามเกณฑ์ที่ตกลงกันไว้

ถ้าจะให้ความเป็นธรรมเกิดขึ้นในสังคม เฉพาะเรื่องรายได้ ผมเองในฐานะเคยทำงานราชการ แต่ทำงานเอกชนมากกว่า สุดท้ายทำอาชีพอิสระ อยากให้มองกันเรื่องผลงานมากกว่า เพราะงานแต่ละตำแหน่ง การทำงานมันแตกต่างกัน แต่ละอาชีพใช้ความสามารถ ความสัดทัดงานเฉพาะด้่านต่างกัน จะใช้เกณฑ์เงินเดือนเท่ากันคงเป็นไปไม่ได้ และจะมาวัดว่าเอกชน หรือราชการใครทำงานดีกว่ากันก็คงไม่ได้อีก 

แต่ให้มองตรงเนื้องาน ว่าทำมากน้อยแค่ไหน ผลงาน ประสิทธิภาพ เป็นอย่างไร ผมว่าอาชีพไหนก็แล้วแต่ อยากให้คิดว่า


  "ทำมากได้มาก"  เท่านี้รู้สึกว่าเป็นธรรมที่สุดแล้ว

...............................
บทความที่เกี่ยวข้อง : ขึ้นเงินเดือนข้าราชการ ขึ้นค่าครองชีพ

ระวังสแปม(spam) อยู่ในเฟสต์บุ๊ก


ปกติเราเจอสแปมกันในอีเมล์ หรือที่เราเรียกกันง่าย ๆ ว่าอีเมล์ขยะนั่นเอง คือคนที่ส่ิงอีเมล์โดยที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนนั่นล่ะ เพื่อเชิญชวนให้เจ้าของอีเมล์เข้าร่วมกิจกรรม หรือเพื่อการโฆษณาสินค้า หรือส่งข้อมูลอย่างอื่นเพื่อผลประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นที่น่ารำคาญ เพราะส่วนใหญ่เข้ามาแล้วครั้งเดียวไม่พอ จะเข้ามาซ้ำซ้อนกันมากกว่า 1 ครั้ง

แต่ในปัจจุบันเริ่มมีคนหัวดีเริ่มนำวิธีการสแปมเข้ามาอยู่ใน เฟสบุ๊ก(facebook) ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในเมืองไทย เพราะเป็นสังคมเครือข่ายออนไลน์ที่ผู้เล่นมีตัวตนจริง ๆ และมักนิยมแสดงตัวตนพร้อมข้อมูลจริง โดยส่วนใหญ่แล้วผู้ใช้วิธีการสแปมจะเป็นพวกทำธุรกิจเครือข่าย โดยเราจะเห็นพวกจำหน่ายอาหารเสริม หรือยาลดความอ้วนต่าง ๆ และพวกขายตรงทางอินเตอร์เน็ตรายอื่นๆ ใช้วิธนี้กัน ทั้งโดยวิธีส่งอีเมล์ และการให้เข้าร่วมกลุ่ม หรือให้เข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ

อย่างที่เจอบ่อยตอนนี้ เช่น "รับโปรโมต web site Magazine Online" หรือ

"เปิดตัวแรง!! *magazine online!!* ด้วยหน้าปก 5 สาวWonder Girls! ภายใต้ชื่อ นิตยสาร Jump Online
ครั้งแรก ที่แรกและทีเดียวของเมืองไทย!!! ตามหาผู้ร่วมก๊วนเรา!!! มีสิทธ์เข้าร่วมหลายๆกิจกรรมดีๆมากมายยยยย

สนใจร่วมงานโปรโมทสื่อแมกกาซีนออนไลน์ คลิกลิงค์ด้านล่าง"

และอีกหลาย ๆ รูปแบบคำเชิญชวน ที่มีการติด tag ชื่อบุคคลที่เป็นสมาชิกในเฟสบุ๊ก เพื่อให้สนใจ และเพื่อน ๆ ของคนที่ถูกติด tag เห็นข้อความและภาพปรากฎในหน้าแรกของเฟสบุ๊ก คลิกเข้าไปดูจากนั้นก็เรียกร้องให้เข้าไปสมัคร โดยการให้กรอกรายละเอียดส่วนตัว ทั้งชื่อ ที่อยู่ อีเมล์ติดต่อ เบอร์โทร


สิ่งที่เกิดขึ้นก็ดูเหมือนกับว่าสแปมดังกล่าวเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล เพราะบางครั้งข้อมูลบางอย่างที่มีการติด tag ชื่อเพื่อโปรโมตสินค้าหรือบริการอย่างนี้่้ ไม่ได้เป็นสิ่งที่เจ้าของชื่อต้องการมากนัก แต่หลายคนบอกว่ารำคาญ 


...............

ขอนำส่วนหนึ่งจากบทความ เรื่อง "ระวังภัย! สแปมบนเฟสบุ๊ก ลวงขาย MLM" โดย ASTV ผู้จ้ัดการออนไลน์ 20 สิงหาคม 2553 15:35 น.

.................

จากปัญหาสแปมที่เริ่มเข้ามาระบาดบนเฟสบุ๊กได้ประมาณ 2-3 อาทิตย์ที่ผ่านมา ทำให้มีสมาชิกเว็บบอร์ดพันธุ์ทิพย์ ดอทคอม ห้องเฉลิมไทย ที่ใช้ชื่อล็อกอินว่า "แพนิดา" ออกมาตั้งกระทู้เตือนภัยสแปมดังกล่าว โดยพาดหัวว่า "ฝากเตือน ธุรกิจอาหารเสริม HBL ที่มาในรูปแบบ JUMP magazine online"
     
       ภายในกระทู้ดังกล่าวพูดถึงปัญหานี้ว่า "เราเป็นคนหนึ่งที่เคยโดนนิตยสาร JUMP Magazine online ติดแท๊กรูปของนิตยสารบนเฟสบุ๊ก ด้วยความอยากรู้อยากเห็นจึงกรอกข้อมูลลงไป หลังจากนั้นก็มีผู้หญิงโทรมาหา คุยสักพักก็บอกว่าโทรมาจากบริษัท Global Advertingซึ่งเราจำได้ว่าเป็นธุรกิจของยาลดน้ำหนักยี่ห้อ Herbalife"
     
       "เจ้าหน้าที่พยายามจะบอกเราว่า บริษัทรับทำแม๊กกาซีน ออนไลน์ โดยเรียกให้เราไปอบรมวิธีการโฆษณาผ่านแม๊กกาซีน ออนไลน์ ที่ตึกเอ็มไพร์ ทาวเวอร์ ถ.สาธร แต่จริงๆ แล้วเป็นการเรียกไปอบรมเพื่อให้รู้ว่า ถ้าทำเฮอร์บาไลฟ์ แล้วจะได้เงินเยอะแค่ไหน"
     
       เมื่อมองย้อนกลับไปจะเห็นได้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงปัญหาเดิมๆ ที่เกิดขึ้นกับผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ เพียงแต่ปัจจุบันด้วยกระแสความร้อนแรงของเฟสบุ๊ก จึงทำให้มิจฉาชีพเหล่านี้ เริ่มมองเห็นช่องทางใหม่ในการทำตลาดธุรกิจขายตรง หรือเอ็มแอลเอ็ม เหมือนที่หลายๆ ธุรกิจทำการแก้ปัญหาเบื้องต้นที่ผู้บริโภคพอทำได้ในขณะนี้คือการหลีกเลี่ยงการกดตอบรับเพื่อเข้าร่วมกิจกรรม หรือกรอกข้อมูลส่วนตัว อีเมล์ และเบอร์โทรศัพท์ลงไป เพื่อป้องกันการถูกคุกคามทางโทรศัพท์ หรือการรายงานกิจกรรมดังกล่าวไปยังผู้ดูแลระบบ โดยกดด้านล่างสุดของหน้าเว็บเพจ จากนั้นเลือกเหตุผลในการร้องเรียน
     
       ตัวแทนจากสถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม (สบท.) กล่าวว่า ถ้าผู้บริโภคมั่นใจว่าสแปมที่เข้ามาในเฟสบุ๊กมาจากบริษัทเดียวกัน สามารถรวมตัวกันเพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับบริษัทดังกล่าว เพื่อเป็นการปลุกแสให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเห็นถึงความเดือดร้อนที่ได้รับ และเข้ามาช่วยกันแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้ทันท่วงที


JUMP Magazine เป็นหนึ่งในสแปมที่ถูกส่งเข้ามาบ่อยที่สุด

กระทู้เตือนภัยที่ได้รับความเดืิอดร้อนออกมาตั้งบนเว็บไซต์พันทิพย์ดอทคอม

ภาพตัวอย่างข้อความการโปรโมท และรายละเีอียด

มีรูปแบบการเชิญชวนที่แตกต่างกันออกไป

ผู้ใช้งานเฟสบุ๊กจะได้รับสแปมเหล่านี้ไม่ซ้ำแต่ละวัน แม้จะกดไม่เข้าร่วมกิจกรรมไปแล้วก็ตาม

...........................................................

เปรียบเทียบความนิยมด้วย Google Trend

ถ้าอยากรู้ว่า คนสนใจเรื่องอะไรมากกว่ากัน ระหว่างเรื่องสองเรื่อง แต่เราไม่มีตัวเลขของการวิจัย ไม่มีข้อมูลทางสถิติที่เป็นทางการ แต่ไม่อยากออกไปขอตัวเลขจากใคร และไม่ต้องการตัวเลขที่เป็นทางการมากนัก พอจะมีวิธีที่ทำให้ได้แน้วโน้มของข้อมูลนั้นมาได้ไม่ยาก หรือที่เราเรียกกันว่า เทรนด์(Trend) นั่นเอง


ก่อนอื่นต้องเข้าไปที่เว็บไซต์ของ Google คือ  http://www.google.com/trends จากนั้นก็พิมพ์คำที่เราต้องการค้นหาแนวโน้มความนิยม เพื่อเปรียบเทียบกันว่าคำไหนได้รับความนิยมในการค้นหาด้วย google มากกว่ากันในช่องของ search trends เหมือนกับการที่เราต้องการค้นหาเว็บนั่นล่ะครับ โดยใช้เครื่องหมายจุลภาค ( , ) คั่นระหว่างคำ แล้วค้นหาได้เลย



ตัวอย่างผมต้องการค้นหาความนิยมหาข้อมูลของนักท่องเน็ตทั้งหลายว่าเขาสนใจสถานที่ท่องเที่ยวระหว่าง ภูเก็ต กับ สมุย อย่างไหนมากกว่ากัน ก็พิมพ์คำทั้งสองในช่องค้นหาได้เลย


ก็จะปรากฎผลเป็นกราฟแสดงค่าการค้นหา โดยใช้สีแตกต่างกันอย่างชัดเจน จะเห็นคำว่า Phuket ได้รับความนิยม หรือมีการค้นหามากกว่าคำว่า Samui แต่ถ้าดูกันแบบไม่ต้องคิดถึงตัวเลขมากนัก มันไม่ค่อยแตกต่างกันมากครับ แต่ก็ทำให้เราได้รู้ว่าคำไหนได้รับความนิยมหรือคนใจมากกว่ากันเท่านั้นเป็นพอแล้ว


การนำไปใช้ประโยชน์ส่วนใหญ่สำหรับคนทำธุรกิจหรือมีการเปิดเว็บไซต์เพื่อเพื่อแนะนำสินค้าหรือคนหาข้อมูลเพื่อนำไปเขียนบทความ หรือทำโฆษณา จะได้รู้ว่าควรจะใช้คำไหน หรือเขียนเรื่องเกี่ยวกับอะไร หรือเน้นเรื่องอะไรมากกว่ากัน ก็เอาตัวข้อมูลตรงนี้ล่ะใช้ประกอบไปตัดสินใจอีกส่วนหนึ่งได้ดีทีเดียวครับ

คุณค้นหาเว็บด้วยวิธีใด (web search)

ปกติคุณค้ันหาเว็บด้วยวิธีการใดกันบ้างครับ 

     ไม่แน่ใจนะว่าแต่ละคนจะมีเทคนิกหรือวิธีการค้นหาเว็บไซต์ หรือที่อยู่เว็บไซต์กันอย่างไร แต่ที่แน่ ๆ ที่เจอบ่อยมากคือ การใช้ที่อยู่เว็บ url กรอกลงไปในเว็บเ่บราเซอร์กันเลย และอีกวิธีคือ การใช้ google search ค้นหาเว็บที่ต้องการ แต่บางคนก็อาจจะใช้ search engine ของเจ้าของอื่น นอกจาก google เช่น yahoo และื่อื่นๆ แต่อาจได้รับความนิยมน้อยกว่า

     การใช้ ที่อยู่เว็บค้นหา (url) สำคัญต้องรู้ที่อยู่เว็บ หรือชื่อเว็บไซต์ที่แน่นอน ป้อนแค่ชื่อเว็บสั้น ๆ คงไปไมได้หรืออาจจะไมถึงเว็บไซต์ที่ต้องการ
ผมใช้เว็บเบราเซอร์ของ Google chrome
เพื่อค้นหาเว็บชื่อ www.do2you.blogspot.com ในกรณีที่ทราบชื่อเว็บไซต์เต็ม

       ส่วนการใช้ search engine อย่างที่นิยมกันมากสุดคือ google search สิ่งสำคัญที่ต้องนำมาใช้คือ คำค้นหาหลัก(keywords) ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เราต้องการค้นหา อย่าชื่อเว็บ(อาจจะไม่ต้องใช้เชื่อเต็ม) หรือคำอื่นๆ ที่เกีียวข้องกับเว็บไซต์ฺทีีต้องการหา

ใช้ search engine ที่นิยมกันมากที่สุดคือ  google ค้นหาเว็บ
 แต่ไม่ทราบชื่อเว็บเต็ม ๆ ก็ลองพิมพ์ชื่อเว็บเท่าที่จำได้

      แต่สิ่งที่ได้ตามมา จะต่างกันมากนะครับ การใช้ที่อยู่เว็บ url ค้นหรือไปยังเว็บไซต์ที่เราต้องการ ถ้ากรอกชื่อได้ตรงทุกอย่าง ก็สามารถไปได้ถึงเว็บไซต์นั้นอย่างถูกต้องและแน่นอนตามที่ต้องการไปครับ ซึ่งตรงกับความต้องการขณะนั้นมากที่สุด แต่ในกรณีที่เราจำชื่อเว็บไม่ได้ หรือจำได้ไม่หมด หรือจำผิด อาจจะไปไม่ได้เลยก็มีบ่อย แต่ถ้าพิมพ์ผิดแค่ตัวเดียวหรือพิมพ์ชื่อเว็บที่ไกล้เคียง บางครั้งเบราเซอร์อาจจะถามว่าคุณต้องการค้นหาเว็บชื่อนี้...ใช่หรือไม่ ก็สามารถไปต่อได้ถูกต้อง

ในกรณีใช้ที่อยู่ url แต่จำชื่อได้ไม่แม่น แล้วลองค้นหาดูเผื่อจะตรง
ตัวโปรแกรมเบราเซอร์ก็จะบอกเราว่า เว็บที่ค้นหาไม่มีหรือไม่เจอ
แลัวยังจะแนะนำเว็บไซตฺ์อื่นๆ ที่ไกล้เคียงกับชื่อนั้น

        สำหรับการใช้ google search อาจจะทำให้เราเจอเว็บไซต์ไม่ตรงกับเว็บที่เราต้องการเข้า เพราะจะเจอจำนวนรายชื่อเว็บมากมายปรากฎออกมา บางครั้งทำให้เราสับสนได้เหมือนกัน ว่ามันเว็บไหนกันแน่ที่เราจะไป แต่ยังไงก็ไม่พลาดครับ รับรองได้เราจะเจอเว็บที่ต้องการแน่นอน แต่ต้องนั่งมองดี ๆ เพราะบางครั้งเว็บที่เราค้นหาด้วยการใช้คีย์เวิร์ด อาจจะไม่ได้อยู่ในลำดับรายชื่อในหน้าแรก ๆ ต้องค้นหาไปหลาย ๆ หน้าถึงจะเจอ แต่ถ้าค้นหาโดยพิมพ์ชื่อเว็บไซต์ในช่องค้นหาของ google ก็อาจจะเจออยู่ในหน้าแรก ๆ เลยก็ได้เพราะมันเป็นชื่อเฉพาะที่น้อยคนจะตั้งชื่อเว็บตรงกันหรือคล้ายคลึงกัน แต่ข้อดีของการค้นหาด้วย google คือเราได้เห็นชื่อเว็บไซต์อื่นๆ ที่เกีียวข้องกับสิ่งที่เรากำลังค้นหาข้อมูลอยู่ ซึ่งข้อมูลอาจจะดีกว่าในเว็บไซต์ที่กำลังหาอยู่ก็ได้

จากการค้นหาด้วย google search จะพบเว็บไซต์ที่มีชื่อของคำที่ใช้ค้นหา
ปรากฎออกมามามายและในที่สุดก็จะเจอเว็บที่ต้องการ
ในที่นี้เจอเว็บ www.do2you.blogspot.com อยู่ที่หน้าแรกของรายการ



หนังโป๊สามมิติ เรื่องแรกของโลก


ฮืม......ได้ยินว่าหนังโป๊ก็น่าสนใจครับ...มีผู้ชายแท้ที่ไหนบ้างไม่เหลียวไปมอง ไม่หู่ผึ่งเมื่อได้ยินคำว่า หนังโป๊..เป็นธรรมชาติของผู้ชายอยู่แล้ว การกระตุ้นด้วยเรื่องเพศ โดยเฉพาะจากเพศตรงข้าม มันสามารถเรียกความสนใจได้มาก


ที่ว่าเรื่องแรกของโลก ก็เพราะเป็นเรื่องแรกของโลกจริง ๆ ที่ถ่ายทำออกมาในระบบสามมิติ มีการลงทุนด้วยงบมหาศาลเหมือนกับการสร้างหนังฉายในโรงของต่างประเทศกันเลย ประมาณ 3.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณกว่า 100 ล้านบาทไทย วิธีการถ่ายและการสร้างหนังก็ไม่ได้แอบถ่ายกันตามห้องเล็ก ๆ หรือแอบถ่ายกันเองเหมือนหนังโป๊ทั่วไป แต่นี่เล่นกันเป็นกอง..กองถ่ายนะครับ ทีมงานพร้อมทุกอย่าง


เป็นความร่วมมือกันของ 3 ประเทศ คือ ฮ่องกง จีน ญี่ปุ่น ซึ่งเริ่มถ่ายทำไปแล้วในเดือนสิงหาคม 53 นี้เอง และคาดว่าจะเข้าฉายให้ได้ชมกันถึงความสมจริงกันในเดือน พ.ค 54 ก็กลางปีหน้าล่ะครับ

ปกติดูหนังประเภทนี้ แผ่นเก่า ๆ สะดุด ๆ ก็พอดูกันได้แล้ว ตื่นเต้นจะตาย นี่เล่นเอาแบบสามมิติกันเลย สมจริงสมจังมาก ๆ คงใจเต้นผิดจังหวะกันบ้างล่ะคราวนี้


ภาพยนตร์เรื่องนี้ีมีชื่อว่า "3D Sex and Zen : Extreme Scstasy" เป็นโครงเรื่องจากวรรณกรรมเก่าแก่ของจีน มีนักแสดงทั้งพระเอกและนางเอกเป็นชาวญี่ปุ่นทั้ืงคู่ นั่นคือ "ซาโอริ ฮาระ" เป็นนางเอก และอีกคนคือ "ฮิโร ฮาอายานะ" แสดงเป็นพระเอก

เช็กความสนใจของคนด้วย Google

ผมคิดว่าคนที่เล่นอินเตอร์เน็ตเป็นชีิวิตจิตใจ หรือเพิ่งหัีดเล่นเน็ต คงไม่มีใครไม่รู้จักวิธีการค้นหาข้อมูลในโลกอินเตอร์เน็ต ด้วย Google จากส่วนที่เป็น Google Search ที่บอกว่าจากส่วนนี้ เพราะใน Google เองก็มีมากมายหลายส่วน ไม่ใช่แค่การค้นหาเว็บไซต์หรือข้อมูลแค่นั้น แต่ยังมีบริการอื่น ๆ อีกด้วย เช่น การลงโฆษณา การหาเงินออนไลน์ บริการเว็บบล็อก บริการฟรีอีเมล์ ฯลฯ

แต่ถ้าเราเป็นผู้ที่เขียนข้อมูล หรืออยากเสนอขายสินค้าทางอินเตอร์เน็ต แน่นอนก่อนอื่นเราต้องสำรวจความสนใจของผู้คนที่อยู่ในโลกอินเตอร์เน็ต ที่จริงคนเหล่านี้ก็อยู่ในโลกสังคมจริง ๆ ของเราเช่นกันนั่นแหละ เมื่อเราอยากรู้สิ่งที่คนพวกนี้สนใจ หรืออยากรู้ว่าสินค้าที่เราจะเอาไปขายหรือข้อมูลทีเราจะเขียนคนเขาสนใจมากน้อยแค่ไหน วิธีง่าย ๆ ในการเช็คหาข้อมูล คือ

ใช้การค้นหาด้วย Google Search ที่เราคุ้นเคยกันดี แต่สิ่งที่ต้องทำเพิ่มเติมคือ ดูจำนวนตัวเลขที่เป็นการนำเสนอโดย Google ว่ามีจำนวนข้อมูลเรื่องนี้เป็นเท่าไหร่ ยิ่งตัวเลขมีมากแสดงให้เห็นว่าคนสนใจเรื่องเหล่านั้นมากตามไปด้วย

ก่อนอื่นก็เข้าไปที่เว็บของ Google ซะก่อน โดยป้อนที่อยู่ url โดยใช้คำว่า www.google.co.th (สำหรับกูเกิ้ลประเทศไทย) หรือ www.google.com ก็ได้เช่นกัน


ก็จะเข้าสู่หน้าเว็บไซต์ของ Google ประเทศไทย



ตัวอย่างผมสนใจเรื่องของภาพนูนต่ำ ก็ป้อนคำค้นหา (คีย์เวิร์ด) เข้าไป จากนั้นก็ทำการค้นหาเว็บได้เลย


ก็จะไ้ด้ข้อมูลอย่างภาพด้านล่าง ซึ่งจะปรากฎข้อมูลในหน้าแรก 10 รายการที่คนเข้าไปดูเยอะที่สุด นั่นคือเว็บไซต์ที่มีการกล่าวถึงเรื่องของ ภาพนูนต่ำอยู่แล้ว  และมีการจัดอันดับโดย Google ไว้เรียบร้อยแล้วเรียงลำดับจากเว็บที่คนเข้าเยอะสุดไปหาเว็บที่จำนวนคนเข้าดูรองลงไปเรื่อย ๆ 




เราจะรู้ได้อย่างไรว่ามีคนสนใจเรื่องนี้มากน้อยแค่ไหน ก็ไปดูตัวเลขที่อยู่ด้านบนของหน้าเว็บที่เป็นของการค้าหาเลยครับ จะมีข้อความตัวเล็กๆ  กำกับไว้ว่า "ผลการค้นหาประมาณ 341,000 รายการ" ซึ่งนี่เป็นตัวเลขโดยประมาณนะครับ เพราะเรื่องบางเรื่องที่มีการเขียนกันจริงอาจจะมีไม่ถึง แต่มีการนำข้อมูลหรือข้อความไปลงโฆษณา หรือเอาไปโปรโมทไว้ในเว็บต่าง ๆ อาจจจะมีคนเขียนเรื่อง ภาพนูนต่ำ หรือมีคนขายสินค้า ภาพนูนต่ำ นี้ไม่ถึง 3 แสนรายหรอกครับ แต่มีข้อมูลที่ Google สามารถเก็บสถิติจากเว็บต่าง ๆ ทีมีคำว่า ภาพนูนต่ำอยู่ประมาณสามแสนกว่าหน้าครับ


......

บทบาทสำคัญของกรดอะมิโนที่จำเป็น

กรดอะมิโนจำเป็นแหล่งอาหารบทบาทสำคัญผลของการขาด
1. ไอโซลิวซีน Isoleusineผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง นม เนื้อวัว เนื้อไก่-เสริมสร้างการเจริญเติบโตของร่างกาย
-สนับสนุนการทำงานของระบบประสาท ทำให้หลอดเลือดขยายตัวได้ปกติ
-ช่วยให้ตับทำงานขจัดสารพิษได้ดีขึ้น
ร่างกายไม่เจริญเติบโตและสมองทำงานช้ากว่าปกติ
2. ลิวซีน Leusineจากถั่วเหลือง เนื้อวัว ไก่งวง แฮม ตับช่วยให้ตับทำงานดีขึ้นระบบภูมิต้านทางอ่อนแอ ทำให้เกิดอาการติดเชื้อได้ง่าย
3. ไลซีน Lysineถั่วเหลือง นม ปลา ตับ ไข่ เนย-ช่วยสร้างสายใยคอลลาเจนป้องกันการเกิดริ้วรอยก่อนวัย
-เพิ่มความแข็งแรงของผมและเล็บ
-เสริมสร้างภูมิต้านทาน
ป้องกันและรักษาโรคเริม
-ร่างกายอ่อนเพลียตามลาย
-ขาดสมาธิในการทำงาน
-เกิดโรคโลหิตจาง
-ติดเชื้อไวรัสง่าย
4. เมไทโอนีน Methionineถั่วเหลือง นมวัว ตับ เมล็ดข้าวสาลี-ป้องกันการสะสมของไขมันในตับ
-ป้องกันโรคซึมเศร้า
-อาการซึมเศร้า
-ระบบภูมิต้านทานอ่อนแอทำใ้ห้เกิดการติดเชื้อได้ง่าย
-แผลจะหายช้ากว่าปกติ
5. เฟนิลอะลานีน Phenylalanineจากถั่วเหลือง นมพร่องไขมัน เนื้อสัตว์ ปลา ไข่ เนย ฟักทอง มันฝรั่ง-เป็นต้นกำเนิดของเม็ดสีเมลานินในเส้นผมและผิวหนัง
-เป็นสารถ่ายทอดข้อมูลจากสมองสู่ประสาท ทำให้ความทรงจำและประสาทดีขึ้น
-ผมมีเม็ดสีจางลงทำให้ผมหงอกก่อนวัย ผมหลุดร่วงง่าย แห้งแตกปลาย เล็บฉีกขาดง่าย ผิวหนังหยาบ
-สมองทำงานเชื่องช้ากว่าปกติ
6. ทรีโอนีน Threonineถั่วเหลือง นมพร่องไขมัน ไก่งวง ไข่ เจลาติน-ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตของร่างกาย
-ช่วยป้องกันการจับตัวของไขมันในตับ
-ร่างกายไม่เจริญเติบโต เบื่ออาหาร
-โรคโลหิตจาง
7. ทริปโตเฟน Typtophanถั่วเหลือง นม เต้าหู้ ไข่แดง กล้วย-ช่วยในการสร้างวิตามิน B3 สร้างสื่อประสาท
-ต่อต้านการซึมเศร้า
-นอนไม่หลับ
-มีอาการซึมเศร้า
8. วาลีน Valineจากถั่วเหลือง นมผง เนื้อวัว ตับ-ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตของร่างกาย
-รักษาสมดุลไนโตรเจนในเลือด
ร่างกายไม่เจริญเติบโต
9. ฮิสติดีน Histidineถั่วเหลือง นมผง เนื้อวัว เนื้อไก่ แฮม-จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของเด็ก
-ช่วยในการทำงานของระบบประสาท
การเจริญเติบโตและพัฒนาการช้าในวัยเด็ก

ที่มา: นิภาพร ชนะคช

กรดอะมิโนที่เขาขายกันทั่วไป

เคยซื้อมากินกันใช่ไหมล่ะ สำหรับขวดเล็กๆ ที่เขาเรียกว่า กรดอะมิโน แต่มีชื่อทางการค้าในชื่อต่าง ๆ มีขายกันเกลื่อนแล้วครับ ในร้านสะดวกซื้อต่างๆ ทั่วประเทศ ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปที่คนเราชาวบ้านธรรมดาจได้ยินคำว่า กรดอะมิโน แต่ก่อนก็รู้จักกันในหมู่ของคนทำงานสาธารณสุข หรือพวกหมอ พวกพยาบาล หรือคนทำงานด้านสัตว์ต่า ๆ หรือคนที่เกี่ยวข้องกับงานด้านโภชณาการ เกี่ยวกับอาหาร
แต่ยุคสมัยเปลี่ยนไป ร่างกายคนเราต้องการกรดอะมิโนเหล่านี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร แต่ก็มีผู้รู้ไม่กี่คน ที่จะอธิบายได้ และอาหารการกินสมัยก่อน โดยเฉพาะอาหารจากธรรมชาติก็มีกรดอะมิโนมากมายก่ายกองอยู่แล้ว คนจึงไม่เป็นโรคภัยที่แปลก ๆ มากนัก ต่างกันกับสมัยนี้ที่งานเป็นตัวกำหนดให้คนเราเปลี่ยนวิถีชีวิต วิธีการกิน รูปแบบ และประเภทอาหารที่เอาเข้าปากกัน ยุคนี้อะไรก็เอาแบบง่าย ๆ เข้าว่า สะดวกไว้ก่อน เพราิะการเร่ิงรีบไม่ได้มีเวลาเลือกสิ่งที่คิดว่าดี ๆ เข้าไป 



กรดอะมิโน(ที่จำเป็น) Essential Amino Acid คือ กรดอะมิโนที่ร่างกายสร้างขึ้นมาเองไม่ได้ พูดง่าย ๆ คือถ้าขาดกรดอะมิโนพวกนี้จะทำให้ร่างกายมีอาการผิดปกติไปนั่นเอง อาจจะไม่สบายหรือความแข็งแรงน้อยลงได้ กรดอะมิโนอีกกลุ่มคือ กรดอะมิโนที่ไม่จำเป็น(nonessential amino acid) เป็นกลุ่มที่ร่างกายสร้างขึ้นมาเองได้จากอาหารที่เรากินเข้าไปอีกที

แล้วกรดอะมิโน เป็นอะไรกันล่ะ กรดอะมิโนเป็นส่วนประกอบหนึ่งในโมเลกุลของโปรตีน โปรตีนก็เป็นส่วนประกอบหนึ่งของสารต่าง ๆ ที่อยู่ในร่างกายเรานั่นเอง เป็นองค์ประกอบหลัก ตัวหนึ่งของร่างกายสิ่งมีชีวิต ช่วยสร้างเนื้อเยื่อของร่างกายและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ นอกจากนี้กรดอะมิโนในโปรตีนต่าง ๆ ก็ยังเป็นตัวช่วยให้วิตามินและเกลือแร่ต่างๆ ที่อยู่ในร่างกายทำหน้าที่ได้สมบูรณ์และดูดซึมไปใช้ได้ง่ายขึ้น


จดหมายจาก Google

     ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ แค่ได้รับจดหมายจาก Google เนื่องจากผมเขียนเว็บบล็อคมานานสักพัก ประมาณ 4-5 เดือน แล้วเริ่มมีคนรู้จักเว็บบล็อคผมมากขึ้น คนเข้ามาดูมากขึ้น ทำให้สถิติดีขึ้น ผมก็ลงโฆษณาของ google adsense เอาไว้ด้วย จำนวนการเข้าชมโฆษณา ก็เยอะตามไปด้วย จนถึงตัวเลขระดับหนึ่ง ทางกูเกิ้ล ก็จะส่งจดหมายอย่างนี้ เพื่อให้เรายืนยันตัวตนของเรา ซึ่งจะมีหมายเลข PIN ที่ google มอบให้กับเรา เพื่อผลประโยชน์ที่จะได้รับในภายหลัง ถ้ายังไม่ได้รับหมายเลข PIN นี้ โฆษณาของ google จะแปะอยู่หน้าเว็บของผมเฉย ๆ ต่อให้คนเข้าไปดูที่โฆษณานั้นมากขนาดไหน ผมก็ไม่ได้อะไร แต่นี่เป็นการแลกเปลี่ยนกัน ผมเขียนเว็บบอร์ดสร้างเนื้อหาให้คนเข้ามาอ่านเพื่อเสริมความรู้ ผู้อ่านก็ได้รับประโยน์กันไป แต่ผมก็ได้รับสิ่งตอบแทนอยู่บ้างเล็กน้อย แม้ไม่มากก็เอา เพราะนี่คือกำลังใจให้สามารถเขียนเว็บนี้ต่อไปได้อย่างคล่องหัว สมองปลอดโปร่งไม่ติดขัด เพราะอย่างน้อยที่เราทำไปก็ไม่เสียเปล่า


     จดหมายฉบับนี้ส่งตรงมาจาก goole ที่ประเ่ทศสหรัฐอเมริกา แต่ในเนื้อหาอาจจะดูเป็นภาษาไทย แต่นี่ก็ไม่ใช่ปัีญหาสำหรับบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง google ที่จะแปลเป็นภาษาอะไรก็ได้ เพราะเขามีบุคลากรที่ดีเียี่ยมและหลากหลายเชื้อชาติ ความสามารถก็ไม่เป็นรองใครอยู่แล้วในโลก Internet และ soft wear จะเขียนจดหมายสักฉบับเป็นภาษาไทยคงไม่ใช่เรื่องยาก

     ผมทำ Adsense มาได้สักพักประมาณ 3 เดือน ตอนแรก ๆ ไม่มีใครเข้าเว็บผมเลย แต่ได้อ่านได้สัมผัสบทความของคนอื่น ๆ มาพอสมควร เขาบอกว่าถ้าจะทำเว็บแล้วให้คนเข้ามามากและเร็วมันเป็นไปได้ยากสำหรับเว็บใหม่ ๆ แต่ต้องใช้ความอดทน รอ แล้วก็ปรังปรุงเว็บไปเรื่อย ๆ จนข้อมูลในเว็บของเรามีมากพอสมควร กระแสการตอบรับ หรือการเข้ามาค้นหาข้อมูลภายในเว็บเราก็จะเพิ่มมากตามไปด้วย ร่วมด้วยกับเรารู้จักการโปรโมทเว็บด้วยวิธีต่าง ๆ จะยิ่งมีคนเข้ามาดูเว็บมากขึ้น จนตอนนี้เรื่องบางเรื่องทีี่ผมเขียนในเว็บบอร์ด ก็อยู่ในหน้าแรก ๆ ของผลการค้นหาโดย google search แต่หลายเรื่องก็หาไม่เจอ การที่จะอยู่ในหน้าแรกของ google ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่ได้ยากอย่างที่คิด ขอให้เรามีความแตกต่าง และขยันอัพเดตข้อมูลอยู่เรื่อย ๆ และอย่าลืมทำเว็บของเราให้คนอื่นรู้จักด้วย เท่านี้ก็ไม่ต้องไปจ่ายเงินให้กับบริษัทหรือตัวแทนที่ทำงานด้านการโปรโมทเว็บให้เราอีกต่อไป 


รามเกียรติ์ แอนิเมชั่น (animation)


จากภาพต้นแบบจิตรกรรมฝาผนังในโบสถ์วัดต่าง ๆ ที่มักมีเรื่องราวในวรรณคดีไทย อย่าง รามเกียรติ์ เป็นเรื่องหลัก แต่ก็มีหลายหลายตอน บางครั้งคนเรา ที่ไม่เคยศึกษา หรืออ่านเรื่องรามเกียรติ์มาก่อน จะดูภาพที่ผนังโบสถ์ด้วยลำพัง คงเข้าใจยาก แต่รู้ว่านี่คือตัวละครในเรื่องรามเกียรติ์ แต่ก็อีกนั่นแหละ ไม่สามารถรู้จักทุกตัวละครในเรื่องได้ 

แต่คุ้นหูเมื่อได้ยินเขาพูดถึงตัวละครตัวโน้นตัวนี้ จะให้นึกภาพรายละิเอียดถึงลักษณะหน้าตาเป็นอย่างไร ที่มาเป็นอย่างไรคงยากมากสำหรับคนที่ไม่เคยสังเกตหรือชอบเรื่องเหล่านี้เป็นชีวิตจิตใจ หรือศึกษามาพอสมควร 

มาวันนี้มีคนเก่ง เป็นมืออาชีพระดับนานาชาิติ เอาภาพจากผนังโบสถ์ในวัดพระแก้ว เป็นตัวละครในเรื่องรามเกียรติ์ เอารูปลักษณะจากต้นฉบับ คือทำให้หน้าตาเหมือนในภาพาเขียนสีที่เห็นกันจนชินตา มาทำเป็นภาพเคลื่อนไหว พูดง่าย ๆ คือภาพผนังโบสถ์ที่พูดได้ เคลื่อนไหวได้ ใช้เวลาทำนานตั้ง 2 ปีเพื่อออกฉายให้คนไทยไดู้ดูกัน แต่ไม่ได้เป็นภาพที่ดูเป็นมิติเหมือนการ์ตูนดัง ๆ อย่างก้านกล้วย หรือเรื่องอื่นๆ ที่เคยฉายในโรงหนังมาก่อนหน้านี้แต่ลักษณะจะเป็นแบบ 2 มิติธรรมดา ๆ แต่ความละเอียดของเส้น ของสี ในตัวละคร และฉากทำให้น่าดูน่าติดตามมาก 

ทำให้คนที่ไม่เคยรู้จักตัวละครในเรื่องรามเกียรติ์ ก็สามารถจดจำลักษณะท่าทาง หรือหน้าตาได้ รู้ที่มาของแต่ละตัว ว่ากว่าจะมาเป็นตัวละครตัวนั้นตัวนี้ เทพองค์โน้นองค์นี้ แต่ละชาติเกิดเป็นอะไรมาบ้าง อย่างตัวลครเอกคือ พระราม และ ทศกัณฑ์ ทำให้ทราบประวัติ และรูปร่างหน้าตาของแต่ละชาติที่เกิดได้ 

เหมาะอย่างยิ่งที่จะเป็นสื่อที่จะเผยแพร่สู่สาธารณะชน หรือเยาวชนของไทย ควรอย่างยิ่งที่จะใช้เป็นสื่อการเรียนการสอนสำหรับเยาวชนในเรื่องของวรรณคดีไทย และสมควรอย่างยิ่งที่จะจัดทำให้มีมากมายหลายตอนกว่านี้ และไม่ใช่เฉพาะเรื่องรามเกียรติ์เท่านั้น เรื่องอื่น ๆ ก็สามารถทำไ้ด้เช่นกัน 

สำหรับตอนที่ได้ฉายไปแล้ว และให้ผู้คนเข้าชมฟรี ในโรงภาพยนตร์ เมื่อวันที่ 9 - 15 สิงหาคม 2553 นั้นเป็นการร่วมมือกันของ มูลนิธิดินดีน้ำใส ร่วมกับ กระทรวงการคลัง และ อสมท. จัดฉายภาพยนตร์เฉลิมพระเกียรติ "รามเกียรติ์ แอนนิเมชัี่น" เพื่อเฉลิมพระเกียรติ์ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ 12 สิงหาคม 2553 เป็นรามเกียรติ์ ตอน "ธรรมมะแห่งราชา" เป็นการถ่ายทอดคุณค่าทั้งเชิง วรรณศิลป์ และทัศนศิลป์ ทั้งคุณธรรมต่่าง ๆ แฝงด้วย "ทศพิธราชธรรม" หรือธรรมะสำหรับผู้ปกครอง ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงยึดมั่นมาโดยตลอด






ตรวจสอบคนเข้ามาเว็บบอร์ด

     ภูมิใจมากเลยครับ เขียนบทความในเว็บล็อคของตัวเองมา 3-4 เดือน เริ่มเขียนบล๊อค เพราะอยากระบายความคิด หรืออะไรก็แล้วแต่ เช่นความรู้ สิ่งที่ได้พบเห็น เรื่องราวในชีวิตประจำวัน เพราะเว็บบล๊อค (weblog) ก็เหมือนกับ ไดอารี่ (diary) ส่วนตัว ก็อาศัยเจ้าของเว็บใหญ่ ๆ อย่าง Google ที่มีบริการให้ทำเว็บบล๊อก อย่างเว็บ blogger 

    เขียนไปเขียนมา นึกอยากเช็กสถิติตัวเอง ก็ใช้บริการของเว็บไซต์ที่บริการด้านสถิติ (statistic) ที่บริการฟรี เห็นผลอย่างนี้ภูมิใจมาก มีคนจากที่ต่างๆ เข้ามาดู เข้ามาอ่านเว็บของเรามากมาย ทั้งจากในประเทศ และต่างประเทศ แต่ก็งงอยู่เหมือนกัน เราเขียนเว็บภาษาไทยนะ แต่คนชาติอื่น ๆ เขา search หาเว็บของเราเจอได้อย่างไร โดยเฉพาะจากอเมริกา ที่เข้ามาหลายคน และจากทางยุโรป เอเซีย ก็ตาม 

แผนที่แสดงตำแหน่งผู้เข้ามาในเว็บของเรา
     
     เนื้อหาที่เขียนก็ไม่เคยมีภาษาอังกฤษเลยแม้แต่หน้าเดียว อาจจะมีบ้างเป็นบางคำที่ใช้คำทับศัพย์ แต่ก็ช่างเถอะเขาจะอ่านภาษาไทยออกหรือไม่ แต่นี่ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า ถ้าเราเขียนบล๊อคไปสักพัก ข้อมูลในเว็บของเรามีมากพอประมาณแล้ว บวกกับจำนวนสถิติที่คนในประเทศเราเข้ามาดูเว็บของเราบ่อย ๆ เข้า ทำให้ Search Engine หลายตัว อย่าง google หาเว็บเราเจอ แล้วก็จัดอันดับหน้าเว็บบางหน้าของเว็บไซต์เรา ที่มีคนเข้ามาดูบ่อย ๆ อยู่ในหน้า่แรก ๆ ได้ก็แล้วกัน 

ระบุตำแหน่งชัดเจน ด้วยชื่อเมืองของคนที่เข้ามาดูเว็บของเรา



คนชนบท ไม่หายจากโรค ทั้งที่ไปหาหมอก็บ่อย


สังเกตยังไง ว่าเป็นโรคไต

หลายคนบอกว่า โรคต่าง ๆ ค่อนข้างสังเกตยาก ถ้าไม่ได้จบหมอ หรือมีความรู้ด้านพยาบาลมา จะรู้อีกทีก็ต่อเมื่ออาการหนักแล้ว เป็นโรคขั้นอันตรายแล้ว อยู่กันดีไม่มีทางรู้ได้ เพราะส่วนใหญ่เชื้่อโรค หรืออาการต่างจะแสดงออกมาทางภายนอกร่างกายในภายหลัง หลังจากที่อาการกำเริบจากภายในแล้ว

โรคไต ก็เป็นอีกโรคหนึ่งที่คนรอบข้างอาจจะสังเกตเห็นได้ยาก แต่ตัวเราเอง ก็ย่อมรู้สภาวะของร่างกายตนเองดีที่สุด ว่าปกติอยู่ดีหรือไม่

เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นโรคไต

มีวิธีการ 2 แนวทางคือ 
* สังเกตจากอาการ  อันนี้ก็ตรง ๆ มากที่สุดคือตนเองสังเกตอาการผิดปกติบางอย่างที่รู้สึกได้ แต่ถ้าหนักขึ้นคนรอบข้างก็อาจสังเห็นได้ด้วย
* การสืบค้น นั่นหมายความว่า เป็นคิดต่อไปว่า ถ้าเรามีอาการ หรือเป็นโรคประจำตัวโรคใดอยู่บ้าง ก็วินิจฉัยต่อไปว่าสามารถนำพาไปสู่โรคอื่นได้หรือไม่อย่างเช่น คนเป็นเบาหวาน หรือความดัน จะมารถเป็นโรคไตได้ด้วย หรือการคิดในแง่ของพฤติกรรมประจำวัน อย่างกินอาหารบางอย่าง อยู่เป็นประจำ จะสามารถทำให้เกิดโรคไตหรือโรคอื่นๆ  ได้หรือเปล่า จากนั้นเมื่อสงสัยแล้วก็ไปให้หมอลองตรวจดู 

มาดูประเด็นแรกกันก่อน ในเรื่องของการสังเกตอาการ

อาการบวม ที่ขาและเท้า เนื่องจากโรคไตของผู้เป็นเบาหวาน
ทำให้ระบบการไหลเวียนของเลือดและน้ำเหลืองไม่ดี


อาการที่แสดงออกมา เมื่อเป็นโรคไต
1. หนังตา ใบหน้า เท้า ขา ลำตัว เกิดอาการบวม
2. ปัสสาวะผิดปกติ เช่น ขุ่น เป็นฟอง สีชาหรือน้ำสีน้ำล้างเนื้อ ฉี่เป็นเลือด
3. การถ่ายปัสสาวะผิดปกติ เช่น ขัด บ่อย แสบ ถ่ายเป็นปริมาณน้อย
4. ปวดหลัง พอคลำดูตรงตำแหน่งไต จะพบก้อนแข็ง ๆ 
5. ความดันโลหิตสูง
6. ซีด เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ไม่มีแรง ไม่กระฉับกระเฉง
7. ท้องอืด ท้องเฟ้อ คลื่นไส้ อาเจียน
8. เบื่ออาหาร การรับรสอาหารเปลี่ยนไป ไม่ชัดเจน
9. ปวดศีรษะ การนอนหลับก็นอนหลับไม่สนิท

แต่อาการต่าง ๆ ที่กล่าวมา ไม่ได้แสดงออกมาพร้อมกันหมดทุกข้อนะครับ มันขึ้นอยู่กับปัจจัยหลาย ๆ อย่าง เช่นวัย โรคประจำตัว และช่วงระยะของการเป็นโรค เริ่มเป็นก็มีอาการน้อยหน่อย เป็นมากแล้ว อาการก็แสดงออกเยอะขึ้นและรุนแรงขึ้นครับ แต่เอาเป็นว่า พบอาการไม่ปกติอย่างที่กล่าวมาข้อใดข้อหนึ่งให้สันนิษฐานไว้ก่อน ว่าเราไม่ีปกติแล้ว อาจจะเป็นขั้นเริ่มต้นของ โรคไต 

สาเหตุของโรคไตวายเรื้อรัง

ส่วนใหญ่แล้ว การเกิดโรคไตวายเรื้อรังนี้จะเป็นได้กับผู้ใหญ่วัยชรา หรือผู้สูงอายุเสียเป็นส่วนใหญ่ เพราะมีผลจากการเกิดโรคอย่างอื่นตามวัยด้วย

สาเหตุหลัก ๆ ได้แก่
1. โรคเบาหวาน เป็นสาเหตุหลักอันดับต้น ๆ เลยก็ว่าได้ที่นำไปสู่การเป็นโรคไตวายเรื้อรัง โดยเฉพาะผู้ที่เป็นเบาหวานมานาหลายปี จะเกิดอาการแข็งตัวของหลอดเลือดฝอยทั่วร่างกาย การเสื่อมลงของหลอดเลือด เลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ไม่ดี เกิดโรคแทรกซ้อนได้ง่าย โดยเฉลี่ยแล้ว โรคไตมักจะเป็นตามหลังโรคเบาหวานประมาณ 10 ขึ้นไป เพราะฉะนั้นต้องทำใจว่าเป็นเบาหวานแล้วมักจะมีโรคไตตามมาด้วย

2. ความดันโลหิตสูง และหลอดเลือดฝอยไตเกิดการอักเสบ (กล่าวไปแล้วในหัวข้อ ปัสสาวะเป็นฟอง สัญญาณโรคไต )เช่นโรค เอส แอล อี

3. สาเหตุจากโรคอื่นๆ ได้แก่ โรคนิ่วในไต, โรคไตอักเสบเรื้อรังจากการติดเชื้อ, โรคเกาส์, โรคไตจากการกินยาแก้ปวดต่อเนื่องเป็นเวลานาน, โรคถุงน้ำในไตที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม


..............

ปัสสาวะเป็นฟอง สัญญาณของโรคไต



เคยสังเกตกันไช่ไหมว่า เมื่อเราปัสสาวะออกมา จะมีฟองบ้างเล็กน้อย นั่นเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่ถ้ามีฟองเยอะมาก เม็ดฟองขนาดเล็ก ขาว ๆ เหมือนกับฟองเบียร์ หรือฟองสบู่ นั่นให้ระวังให้ดีครับ เพราะไม่แน่อาจจะเป็นโรคเกี่ยวกับไต เป็นแค่ข้อสันนิษฐาน แต่ค่อนข้างมีน้ำหนักหรือน่าเชื่อถือได้มากเลยทีเดียว

กระจุกเล็กของหลอดเลือดฝอยเส้นเล็ก ๆ ที่กระจายอยู่ในเนื้อไต เรียกว่า "หน่วยไต" ทำหน้าที่กรองของเสียและน้ำส่วนเกินจากเลือดแล้วขับออกนอกร่างกายในรูปของปัสสาวะ

แต่เมื่อหน่วยไต มีการอักเสบเกิดขึ้น จะทำให้โปรตีน และเม็ดเลือดแดง รั่วออกมาในปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะเป็นฟองหรือขุ่น การที่หน่วยไตอักเสบ จะนำพาไปสู่อาการ "ไตวายเรื้อรัง" ในที่สุด

อาการที่พบบ่อย และที่ตรวจพบจะมีหลายอย่าง เช่น ปัสสาวะบ่อย อาการบวมน้ำตามร่างกาย ปัสสาวะมีเลือด ความดันโลหิตสูง ภาวะโลหิตจาง ตรวจพบโปรตีนและเม็ดเลือดแดงในปัสสาวะ ค่า BUN และ Creatinine ผิดปกติ

ดังนั้นท่านที่เริ่มสังเกตอาการ หรือปัสสาวะของตนเอง แล้วมีลักษณะดังที่กล่าวมา ก็ให้ระวังตัวแล้วกัน เพราะสุขภาพของท่านกำลังไปในทางที่แย่ลง ควรไปพบหมอ เพื่อเร่งทำการรักษา ก่อนที่ไตจะวายไป เพราะการรักษาที่ปลายเหตุ หรือไตใช้งานไม่ได้แล้วเนี่ย เป็นอะไรที่ลำบากพอควร ค่าใช้จ่าย และเวลาในการักษาที่มากมายนัก ลำบากกว่าการรักษาโรคอื่นๆ หลายเท่าตัว